เรื่อง : อูน
เกรซ โจนส์ เคยเปลือยกายเข้าไปใน “สตูดิโอ 54” ที่นิวยอร์ก จอห์น เจอราร์ด ติดสอยห้อยลิงหางขดเข้าไปด้วย นกพิราบขาวบินว่อนบนเพดาน ส่วนบนฟลอร์ บรรดาเท้าไฟก็กำลังเต้นรำกันอย่างเมามัน ดูคล้ายสวรรค์และนรกในคราวเดียวกัน แต่นั่นคือดิสโกเธคระดับวีไอพี ที่เปิดตัวอย่างกระหึ่มในปี 1977 หรือเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
มันคือปรากฏการณ์ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนับจากนั้นก็ไม่มีเกิดขึ้นอีก ที่คลับแห่งหนึ่งจะเป็นที่ช่างผมกับดารามารวมตัวสุมหัวกันเสพโค้ก หรือพวก wannbe ออกมาตามล่าหาบันไดไต่เต้า ที่นี่คือคลับที่ทุกคนสามารถเป็นดาวเด่น ไม่ว่าจะรวย จน วัยอ่อน วัยแก่ หญิงชายแท้ หรือเกย์เลสเบี้ยน ตราบใดที่สามารถเดินผ่านผู้คุมประตูทางเข้ามาได้ ที่นี่คือคลับที่แม้แต่ ลิเลียน คาร์เตอร์ ผู้เป็นแม่ของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ เคยมาเยือน และบอกเล่าความรู้สึกว่า “ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกสวรรค์หรือนรก แต่มันสนุกมาก”
“สตูดิโอ 54” ยังอยู่ในความทรงจำ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์ ก่อนยุคก่อการร้าย ก่อนสงคราม ก่อนโรคเอดส์ เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1977 บนถนนสาย 54 ของแมนฮัตตัน เป็นดิสโกที่ย้อมความรู้สึกให้ชีวิตและเป็นที่ปลดปล่อยของบรรดาคนดัง รุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่ราว 3 ปี ก่อนจะตกอยู่ในภาวะซบเซายาวนานอีก 6 ปี แต่ก็พูดได้ว่า “สตูดิโอ 54” สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ขาประจำอย่าง จอห์น เจอราร์ดยังรู้สึกหอมหวานกับความทรงจำครั้งนั้น ราวกับว่ามันเพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อวานนี้เอง
เจอราร์ด แฮร์สไตลิสต์ มีบัตรผ่านถาวรสำหรับ “สตูดิโอ 54” ดิสโกที่เอ็กซ์คลูซีฟที่สุดในโลก บัตรผ่านประตูของเขาคือลิงหางขด ชื่อ แม็กซ์ ช่างผมวัย 18 ปีในขณะนั้นมักมีแม็กซ์นั่งบนบ่าเวลาเดินผ่านผู้คุมประตูเข้าไปในดิสโก แม็กซ์ชอบดื่มเบียร์ ที่ทำให้มันรู้สึก “สนุกและดุดัน” ครั้งหนึ่งมันเคยอาละวาดดึงทึ้งจมูกของทายาทตระกูลเจ้าของแชมเปญเลยทีเดียว “แหม” เจอราร์ดรำพึง “เรื่องมันนานมาแล้ว”
ประโยชน์ของผนังยาง
เนื่องจาก “สตูดิโอ 54” เป็นมากกว่าดิสโกธรรมดา แอนโธนี ฮาเดน-เกสต์ ขาประจำอีกคน ที่บันทึกเรื่องราวในอดีตยุคดิสโกไว้ในหนังสือ ‘The Last Party’ ของเขา รวมทั้งคนทำแฟชั่น ปริ๊นซ์ เอกอน ฟอน เฟือร์สเทนแบร์ก ก็กล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ว่า “มันเป็นไนท์คลับแห่งเดียวที่ใครๆ สามารถเข้าไปมีเซ็กซ์กันได้”
ที่น่าแปลกกว่านั้นคือคู่หู ผู้ก่อตั้ง “สตูดิโอ” ขึ้นมา ซึ่งทั้งสองแทบไม่เป็นที่รู้จักของใครในสังคมวีไอพีเลย นั่นคือ สตีฟ รูเบลล์ และเอียน ชเรเกอร์ พวกเขามีนิสัยใจคอต่างกันเหมือนคนละขั้ว แต่กลับมาเป็นคู่หูหุ้นส่วนกัน รูเบลล์เป็นคนโฉ่งฉ่างและชอบปาร์ตี้ ส่วนชเรเกอร์เป็นคนนิ่ง และจริงจังกับธุรกิจ ทั้งสองร่วมหุ้นกันในร้านสเต๊กเฮาส์มาก่อน ด้วยความช่วยเหลือจากนักลงทุนทำให้พวกเขาได้อาคารที่แต่ก่อนเคยเป็นสตูดิโอถ่ายทอดสดรายการของ CBS ย่านเวสต์ไซด์ และดัดแปลงอาคารเป็นดิสโกเธค
พื้นที่ภายในดิสโกกว้างขวางมโหฬาร มีฟลอร์เต้นรำที่รองรับได้ถึง 500 คน ติดตั้งระบบเสียงระดับสุดยอดสำหรับยุคนั้น และไฟนีออน “ผู้ชายในดวงจันทร์” ที่สะท้อนแสงปลุกเร้าบรรยากาศ เวทีและระเบียงทางเดินยังคงไว้แบบเดิม เหนือขึ้นไปอีกชั้นเป็นที่ตั้งของ “Rubber Room” ที่เลื่องลือ ผนังห้องปิดแผ่นยางทั้งหมด สามารถเช็ดล้างได้ง่าย ส่วนห้องวีไอพีอยู่ชั้นใต้ดิน
เกรซ โจนส์ชอบมาเปลือยกาย
พิธีเปิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1977 กลายเป็นข่าวฮือฮา มีแขกกิ๊บเก๋มาร่วมงานถึง 5,000 คน จนทำให้ตอนดึกคืนนั้นอลหม่านไปทั่วมิดทาวน์ ทุกคนต่างมุ่งหน้ามาที่งานเปิด “สตูดิโอ” ทั้งแฌร์ แฟรงก์ ซินาตรา เบียงกา แจ็กเกอร์ มาร์โกซ์ เฮมิงเวย์ โดนัลด์ ทรัมป์ (สมัยนั้นยังไม่เป็นที่รู้จัก) “เหมือนฟ้าจะถล่ม” ชเรเกอร์รู้สึกแปลกใจ แขกหลายคนต้องออกันอยู่ที่ด้านนอก ในจำนวนนั้นมี วอร์เรน เบ็ตตี้ และ “นางฟ้าชาร์ลี” เคท แจ็กสัน
“เราทุกคนรู้ดีว่า เราไม่ได้แค่มางานพิธีเปิดดิสโกเธค” โรบิน ลีช ผู้รายงานข่าวทีวี ที่เคยเป็นผู้จัดการส่วนตัวของบรูก ชีลด์ส ตอนเธออายุ 11 ขวบ “แต่มันคือพิธีเปิดที่เป็นประวัติศาสตร์”
เพียงชั่วข้ามคืน “สตูดิโอ” ก็กลายเป็นนิยาม ชเรเกอร์และรูเบลล์ยอมจ่าย “ค่าน้ำ” ถึง 250 ดอลลาร์ ให้กับใครก็ได้ที่สามารถชักชวน “ท็อปสตาร์” มาเที่ยวได้ ในบรรดาลูกค้าขาประจำของที่นี่มีตัวแม่อย่าง ไดอานา รอสส์ ไลซา มิเนลลี เอลิซาเบ็ธ เทย์เลอร์ แอนดี้ วอร์ฮอล์ คู่แจ็กเกอร์ ไมเคิล แจ็กสัน คาลวิน ไคลน์ เอลตัน จอห์น มาดอนนา ซาลวาดอร์ ดาลี และซูเปอร์โมเดล-คริสตี้ บริงก์ลีย์ รวมทั้ง เกรซ โจนส์ ที่ชอบเดินเปลือยกายเข้าไปในคลับ “เจอบ่อยๆ เข้า” คริสต์ ซัลลิแวน-หนึ่งในทีมผู้คุมประตู เล่า “บางทีก็น่าเบื่อเหมือนกัน”
เพลงจาก “สตูดิโอ” ที่ฮิตติดหูไปทั่วโลก ได้แก่ ‘I Love the Nightlife’ ‘YMCA’ ‘Last Dance’ วงป๊อป Chic เคยเขียนเพลงดัง ‘Le Freak’ ขึ้นจากการประท้วง หลังจากพวกเขาถูกผู้คุมประตูหน้า “สตูดิโอ” ขัดขวางไม่ยอมให้เข้า กระทั่งเพลง ‘Le Freak’ กลายเป็นเพลงฮิตประจำฟลอร์ของ “สตูดิโอ” สมาชิกวง Chic ถึงมีโอกาสได้ผ่านประตู
ความสนุกที่ไม่จำเจในแต่ละค่ำคืน
แต่ละคืนมักมีอะไรที่ไม่จำเ ครั้งหนึ่งชเรเกอร์เคยเชิญกองทัพคนแคระมาร่วมสนุก สำหรับ “Saturday Night Fever” เขาก็ปล่อยนกพิราบขาวที่กลางฟลอร์ ให้มันบินโกลาหลท่ามกลางแสงสี แล้วไปจบที่เพดานไฟ
ทว่าที่จำเจเหมือนเดิมทุกคืน คือความเข้มงวดแต่ตาถึงของผู้คุมประตู ที่ไม่ใช่แค่ปล่อยให้เฉพาะลูกค้าวีไอพีผ่านเท่านั้น หากยังรวมถึงลูกค้าประเภท “ออริจินัล” ด้วย อย่าง “ดิสโก แซลลี” หญิงวัยชราที่ร่ำรวยและชอบเต้นรำ ผู้ชายที่มีหุ่นกระบอกเท่าคนจริงๆ ติดตัวตลอดเวลา หรือจอห์น เจอราร์ดกับลิงหางขดของเขา “สลัดผักรวม” มาร์ก เบเนค ผู้คุมประตูเรียกลูกค้าประเภทเหล่านี้
ในช่วงปีแรก “สตูดิโอ 54” ทำรายได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์ นั่นคือตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่ที่ไม่เป็นทางการน่าจะมากกว่านั้น มีการคาดเดาว่าอาจจะมากกว่าถึง 7 เท่า เพราะรูเบลล์และชเรเกอร์ทำบัญชี 2 เล่ม รายได้ที่ไม่เป็นทางการส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสิ่งเสพติด (โคเคน กัญชา และควาลูด-ยากล่อมประสาท) ที่ “สตูดิโอ” พึ่งพาเพื่อดึงดูดลูกค้า
ถุงขยะบรรจุเงินล้าน
สิ่งผิดกฎหมายอยู่รอดปลอดภัยได้ไม่นาน พนักงานคนหนึ่งของ “สตูดิโอ” ที่ถูกไล่ออกจากงาน แอบไปแฉความกับพนักงานตรวจสอบบัญชีของรัฐ ระหว่างการบุกตรวจค้นในเดือนธันวาคม 1979 เจ้าหน้าที่จากหน่วยตรวจสอบบัญชีบังเอิญไปเจอสมุดบัญชีเล่มจริงของ “สตูดิโอ” ในตู้เซฟ พร้อมกับถุงขยะบรรจุเงินสดจำนวน 1 ล้านดอลลาร์และโคเคนที่ซ่อนอยู่ในผนังห้อง
รูเบลล์และชเรเกอร์ถูกฟ้องร้องคดีเลี่ยงภาษี จำนวน 2.5 ล้านดอลลาร์ และในปี 1980 ทั้งสองถูกตัดสินโทษจำคุก 3 ปีครึ่ง แต่สุดท้ายพวกเขาต้องโทษกักขังเพียง 13 เดือน
“สตูดิโอ 54” ปิดตัวลงในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1980 ด้วยปาร์ตี้ชื่อว่า “อวสานของโกมอร์ราห์ยุคใหม่” และดูเหมือนว่า ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน จะเป็นลูกค้าคนสุดท้ายที่สั่งดริ๊งก์ เจ้าของกิจการร้านอาหารซื้อต่อ “สตูดิโอ” ไปในราคา 4.75 ล้านดอลลาร์ ทำการปรับปรุงและเปิดกิจการใหม่อีกครั้งในเดือนกันยายน 1981 แต่บรรดาลูกค้าคนดังส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะหวนกลับไปอีกแล้ว ปี 1986 ถึงบทอวสาน “สตูดิโอ” สิ้นชีพไปพร้อมกับไลฟ์สไตล์แบบของมัน เมื่อนายกเทศมนตรี รูดี้ กุยเลียนี และไมค์ บลูมเบิร์ก-คนถัดมา ออกกฎเหล็กควบคุม
แม็กซ์ ลิงหางขด เสียชีวิต
สตีฟ รูเบลล์ เสียชีวิตลงในปี 1989 ด้วยโรคเอดส์ เอียน ชเรเกอร์ยังคงทำธุรกิจสถานเริงรมย์ต่อไป ในจำนวนนั้นที่ขึ้นชื่อมี Palladium หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนสายธุรกิจ หันไปทำธุรกิจโรงแรมจนได้ชื่อเป็นนักการโรงแรมระดับวีไอพีคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา (เจ้าของ ‘Royalton’ ‘Mondrian’ ‘Delano’) และกลายเป็นมหาเศรษฐี ปัจจุบันเขาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว ส่วน “สตูดิโอ 54” ถูกดัดแปลงใหม่ให้เป็นโรงละครบรอดเวย์
และแม็กซ์ ลิงหางขด ก็เสียชีวิตแล้ว รวมทั้งดิสโก และชีวิตกลางคืนของนครนิวยอร์ก จอห์น เจอราร์ด ปัจจุบันอายุ 48 ปี ยังคงเป็นช่างผมเหมือนเดิม เขาเลิกเสพเหล้ายามานานหลายปีแล้ว และเริ่มศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมควบคู่ไปกับการทำงาน
“ชีวิตอะนะ” เขาบอกพลางถอนใจ “มันยังต้องเดินต่อไป”
เครดิต : www.spiegel.de