เรื่อง : Monsoon 4.0
อินเดียไม่ใช่ประเทศเดียวที่มี Spiritual Entrepreneur (ผู้ประกอบการด้านจิตวิญญาณ) หรือ Gurupreneur แต่น่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่สื่อกล้าเรียกและสังคมก็ยอมรับว่า บรรดา baba หรือ guru ชื่อดังของตน ถ้ามองกันในมุมเศรษฐกิจและทิศทางการเติบโตถือว่าเป็น entrepreneur ขนานแท้ และคนที่มาแรงที่สุดในโค้งนี้ด้วยมูลค่าธุรกิจ 25,000 ล้านบาท คือ Baba Ramdev
“รามเทพ” เกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ในรัฐฮาร์ยาน่า เดิมชื่อ Ramkishan Yadav เมื่อเป็นวัยรุ่นเขาหนีออกจากบ้านไปเรียนโยคะและคัมภีร์โบราณในอาศรมโยคีหลายแห่ง ปฏิบัติตนเป็นสันยาสีหรือโยคี และเปลี่ยนชื่อเป็น “สวามี รามเทพ” เขาเริ่มมีชื่อเสียงหลังจากเปิดอาศรมสอนโยคะชื่อ Divya Yog Mandir Trust ที่เมืองฮาริดวาร์ ในปี 1995 ต่อมา ทีวีช่อง Aastha TV เชิญเขามาสอนโยคะในรายการช่วงเช้า ด้วยลีลาการสอนที่เป็นกันเอง มีจิตวิทยาในการพูด และสรีระที่ขึ้นกล้อง นับจากปี 2003 รามเทพก็ดังยิ่งกว่าพลุ มีรายการสอนโยคะทางทีวีถึง 9 รายการ มีแฟนพันธุ์แท้ระดับดาราบอลลีวูด นักการเมือง รวมถึงชาวต่างชาติ ซึ่งรายหนึ่งถึงขั้นยกเกาะขนาด 1,800 ไร่ในสก็อตแลนด์ให้เขาเป็นของขวัญ
อาศรมของเขาในเมืองฮาริดวาร์โตวันโตคืน จากอาศรมเล็กที่เปิดสอนโยคะและรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร ขยายเป็นกิจการเป็น สถาบันสอนโยคะและอายุรเวท (การแพทย์แผนโบราณของอินเดีย) ชื่อ Patanjali Yogpeeth ที่ขยายตัวรวดเร็วจนมีวิทยาเขต 2 แห่งในรัฐอุตรขันธ์ ทั้งมีสาขาในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เนปาล แคนาดา และมอริเชียส ด้านยาสมุนไพร รามเทพและอจารยา พลกฤษณะ นักการตลาดมือขวาของเขา ก่อตั้ง Patanjali Ayuraved ผลิตยาสมุนไพรนับจากยารักษาสิว โรคอ้วน โรคหัวใจ จนถึงมะเร็ง
จนถึงปี 2006 บาบารามเทพถือเป็นหนึ่งในกลุ่ม Gurupreneur ที่อาณาจักรจิตวิญญาณมีรายได้และสินทรัพย์ระดับ 2-4 พันล้านบาท ได้แก่ ‘Sri Sri Ravi Shankar’ ผู้ก่อตั้ง Art of Living Foundation (AOL) ใช้โยคะ อายุรเวท และสมาธิภาวนาเป็นแนวทางในการเยียวยาจิตกายและสร้างเสริมบุคลิกภาพ ‘Mata Amritanandamayi Devi Amma’ ที่เยียวยาผู้คนด้วยการสวมกอด จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Embracing Mother ‘Asaram Bapu’ เจ้าของอาศรมในเดลี ‘Sudhanshu Maharaj’ ผู้มีศูนย์ปฏิบัติสมาธิภาวนาทั่วอินเดีย และ Osho International Meditation Resort (OIMR) ที่ขยายตัวจากอาศรมของโอโชหรือ ‘ภัควานศรีรัชนี’ ที่เมืองปูเน รัฐมหาราชตระ
เมื่อมองในภาพรวม ความดังและความร่ำรวยของรามเทพมาควบคู่กับการเป็นข่าวทั้งด้านบวกและด้านลบ รวมทั้งการเป็นนักโหนกระแสหรือจับทางตลาดเก่ง เช่นในปี 2010 ช่วงที่ชาวอินเดียกำลังเอือมระอากับการเมืองซีนเดิมๆ รามเทพประกาศตัวจะก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ Bharat Swabhiman แต่ก็กลับลำในปีต่อมาด้วยเหตุผลว่า เขาจะเน้นการเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าเพื่อสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่แท้จริงให้กับคนอินเดีย แต่เมื่อมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ที่กรุงเดลีในช่วงกลางปี 2011 เรียกร้องให้รัฐบาลพรรคคองเกรสส์ผ่านร่าง พ.ร.บ.ปราบคอร์รัปชั่นและเงินมืด (Black Money คำที่คนอินเดียใช้เรียกเงินที่เศรษฐีเลี่ยงภาษีโดยนำไปซุกไว้ในตามเกาะสวรรค์) รามเทพได้เข้าร่วมและประกาศอดอาหารประท้วง ผ่านไปได้เพียง วันเดียวรัฐบาลก็ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมรามเทพ ซึ่งพยายามจะหนีโดยปลอมตัวใส่เสื้อผ้าผู้หญิง เขาได้รับการปล่อยตัวภายในไม่กี่ชั่วโมง และถูกส่งตัวกลับฮาริดวาร์ รามเทพอดอาหารประท้วงต่อเป็นเวลา 9 วัน และยอมยุติเมื่อ Sri Sri Ravi Shankar แห่ง Art of Living เดินทางมาขอร้องด้วยตนเอง
ในปีเดียวกันรามเทพยื่นอุทธรณ์เรียกร้องให้ศาลสูงกรุงเดลีกลับคำตัดสินเมื่อปี 2009 ซึ่งศาลลงความเห็นว่าการรักร่วมเพศไม่มีความผิดตามกฎหมาย โดยรามเทพให้ความเห็นในที่สาธารณะหลายครั้งว่าการรักร่วมเพศนั้นผิดธรรมชาติ เป็นโรคจิต กำลังทำลายระบบครอบครัวของอินเดีย และสามารถรักษาให้หายขาดได้ภายในหกเดือนด้วยการฝึกโยคะ ปราณยามะ และการฝึกสมาธิเทคนิกอื่นๆ
หากมองในภาพกว้าง กูรูเพรอนัวร์ของอินเดียเติบโตเป็นกราฟผันตรงกับเศรษฐกิจของประเทศ ดังที่ปวัน เค. วาร์มา เจ้าของหนังสือ Great Indian Middle Class วิเคราะห์ว่า ความฝักใฝ่ทางจิตวิญญาณและความเชื่อฝังอยู่สายเลือดของชาวอินเดีย สังเกตว่าอินเดียมีโบสถ์วิหารและอารามรวมแล้วมากกว่าโรงเรียน ขณะเดียวกันชนชั้นกลางอินเดียขยายจำนวนและอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้นก็จริง แต่ต่างต้องเผชิญกับปัญหาความมั่นคงทางจิตใจ ผลพวงของวิถีชีวิตก่ำกึ่งลักลั่นระหว่างสังคมเมืองและชนบท จารีตประเพณีกับความคิดสมัยใหม่ รวมถึงโรคภัยที่พ่วงมากับวิถีการกินอยู่ใหม่ๆ เมื่อกูรูเหล่านี้ชี้ชวนว่าการฝึกสมาธิ ฝึกโยคะ หรือกินยาสมุนไพร เป็นเรื่องของสุขภาพจิตและกาย เป็นไลฟ์สไตล์ทางเลือก ไม่เกี่ยวข้องหรือท้าทายความเชื่อทางศาสนาของใคร ชนชั้นกลางรุ่นใหม่จึงน้อมรับกระแสไว้โดยสะดวกใจ
สำหรับรามเทพและสตาร์ทอัพยี่ห้อปตาญจลีของเขา นอกจากมาถูกจังหวะยังเลือกจุดขายได้สอดรับกับกระแสสังคมอินเดีย 2 ด้าน นั่นคือความห่วงใยสุขภาพและชาตินิยมเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งกระแสด้านที่สองนี้ถือเป็นการปลุกและปั้นตลาดต่อยอดจากการเคลื่อนไหวต่อต้านคอร์รัปชั่นและแบล็กมันนี่ ตอกย้ำความรู้สึกของคนอินเดียที่มองว่าการครอบงำทางเศรษฐกิจโดยบรรษัทต่างชาติ เป็นการล่าอาณานิคมยุคใหม่ อิสรภาพทางเศรษฐกิจจะคงอยู่ได้ชาวอินเดียต้องหันมาใช้สอยสินค้าที่ผลิตโดยคนอินเดียเพื่อคนอินเดีย
ปตาญจลีจึงขยาย product line จากยาสมุนไพรไปสู่สินค้าอุปโภคและบริโภคมากมาย อาทิ ข้าวสาร แป้งสาลี น้ำมันพืช เกลือ น้ำผึ้ง ยาสระผม ยาสีฟัน เจลล้างหน้า สบู่ล้างมือ ขนมปังกรอบ ฯลฯ เมื่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแม็กกี้ของเนสท์เล่ถูกห้ามขายเนื่องจากตรวจพบสารตะกั่วในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐาน เมื่อต้นปี 2015 ปตาญจลีก็เสียบตลาดด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพื่อสุขภาพ ก่อนที่จะถูกองค์กรอาหารและยาฟ้องปรับเรื่องการโฆษณาเกินจริง และสื่อขุดคุ้ยพบว่าบะหมี่ดังกล่าวผลิตโดยโรงงานท้องถิ่น ปตาญจลีเป็นแต่เพียงผู้บรรจุหีบห่อและจัดจำหน่าย
อย่างไรก็ตามกลางปีที่ผ่านมา บาบารามเทพ ในวัย 50 ปี ประกาศว่าปตาญจลีมีผลประกอบการทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็นสองเท่าในช่วงปี 2016-2017 อย่างแน่นอน “ปีหน้าเราจะแซงหน้าคอลเกต และจะตีตลาดยูนิลิเวอร์ภายใน 3 ปี ส่วนเนสท์เล่ ไม่ช้า นกจะต้องตีปีกทิ้งรังอย่างแน่นอน” รามเทพ กล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อ
เมื่อถามถึงการเข้าตลาดทุน รามเทพตอบสั้นๆ ว่า “ยังไม่มีแผน” ส่วนพลกฤษณะมือขวาฝ่ายการตลาดของเขาเสริมว่า ปตาญจลีจะขยายโปรดักต์ไลน์ไปสู่เสื้อผ้าและอุปกรณ์การฝึกโยคะ ยีนส์ออร์แกนิก และจะขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งและเครื่องสำอางในกว่า 10 ประเทศ ส่วนตลาดในประเทศจะขยายร้านสาขาเพิ่มให้ถึง 10,000 สาขา และเปิดเมกะสโตร์ของปตาญจลี 100 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2017 นี้
ไม่น่าแปลกใจที่นิตยสาร Time of India ฉบับรับศักราช 2017 จะบรรจุปูมข่าวของรามเทพเป็นหนึ่งใน ‘Newsmaker’ แห่งปี ชนิดกระทบไหล่กับ “ระตัน ตาต้า” CEO ของตาต้า กรุ๊ปส์ และเจ้าพ่อเทเลคอมฯ อย่าง “มูเกศ อัมบาร์นี” — เกมธุรกิจของอินเดียในปีนี้ นอกจากเข้มข้นยังมีสีสันที่เร้าใจให้ติดตามอย่างยิ่ง