Site icon Spotlight Daily

‘ภัยร้ายจากความอ้วนเกินพิกัด’ เตือนระวังความดัน ไขมัน หลับไม่ตื่น และซึมเศร้า

เรื่อง : หมอมา

             รูปร่างอวบ-อ้วน เป็นปัญหาทางกายภาพที่ผู้ใส่ใจความสวยความงามเป็นกังวลกันมาทุกยุคสมัย แต่ที่มากไปกว่านั้น ‘ภาวะอวบระยะสุดท้าย’ ‘อ้วนระยะเริ่มต้น’ หรือกระทั่งถึงขีดสุดคืออ้วนแบบ ‘บิ๊กมาม่า’ นอกจากนำมาซึ่งโรคร้าย อย่าง โรคหลอดเลือดหัวใจ-สมอง หรือเบาหวานแล้ว ยังเสี่ยงต่อภาวะไขมันอุดตัน หยุดหายใจขณะหลับ และซึมเศร้าได้ด้วย

             ภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในปัจจุบัน จัดเป็นปัญหาทางสาธารณสุข เพราะประชากรทั่วโลก รวมทั้งคนไทย มีปัญหาน้ำหนักตัวเกิน และเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งล้วนเป็นทั้งปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ และเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงมาก แต่อัตราเสียชีวิตก็ยังคงสูงต่อเนื่อง

อย่างไรถึงเรียกว่า ‘อ้วนแล้วนะ’

              องค์การอนามัยโลก ให้นิยาม ภาวะน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน (Overweight and Obesity) ไว้ว่า ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกายเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยง หรือเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลถึงสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ โดยเมื่อมีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือเรียกย่อว่า BMI) ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป เรียกว่า ‘น้ำหนักตัวเกิน’ แต่ถ้ามีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เรียกว่า ‘เป็นโรคอ้วน’

              โรคอ้วน แบ่งออกเป็น 3 ระดับ เพื่อบอกความรุนแรงของภาวะ หรือของโรคว่า ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก โดยระดับความรุนแรงมากคือ ค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 40 ขึ้นไป (มาตรฐานองค์การอนามัยโลก) หรือตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (สำหรับเอเชีย)

คำนวณความอ้วนกันอย่างไร

                กลับมาที่ ‘ดัชนีมวลกาย’ คือค่าซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวกับส่วนสูง ที่นิยมใช้เป็นตัววินิจฉัยว่า ใครน้ำหนักเกิน หรือใครเป็นโรคอ้วน โดยหน่วยของน้ำหนักคิดเป็นกิโลกรัม และหน่วยของความสูงคิดเป็นเมตร โดยค่าดัชนีมวลกายของแต่ละคนจะมีค่าเท่ากับ น้ำหนักของคนๆ นั้น หารด้วยความสูงยกกำลังสอง เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ความสูง 1.60 เมตร (1.60 x 1.60 ม. = 2.56 (50/2.56) ค่าดัชนีมวลกายคือ 19.53

อ้วนแล้วถึงตายได้อย่างไร

                ภาวะ ‘น้ำหนักตัวเกิน’ และ ‘โรคอ้วน’ นั้นเป็นการเชื้อเชิญ หรือเดินเข้าไปสู่ การเป็นโรค 1-โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง (โรคอัมพาต) 2-โรคเบาหวาน 3-โรคความดันโลหิตสูง 4-โรคไขมันในเลือดสูง 5-โรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะการมีไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้น้ำดีจากตับมีไขมันสูงตามไปด้วย ซึ่งไขมันจะตกตะกอนเกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย 6-มีปัญหาในการหายใจ มักเป็นโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea)

                อีกแง่มุมหนึ่ง ภาวะอวบอ้วนส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสังคมอย่างช้าๆ ทั้งกับตัวผู้ป่วยเองและครอบครัว และมักเป็นโรคซึมเศร้าในท้ายที่สุด

ป้องกันอ้วนได้อย่างไร

          1.กินให้ดู คิดเป็นระบบ รู้จักควบคุมอาหาร

           2.อยู่ให้เป็น ลุยงาน เล่นกีฬา ออกกำลังกายเสมอ

             การลดน้ำหนักจะได้ผลดีต่อเมื่อเราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน สำหรับใครที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนต้องค่อยๆ เริ่ม และหัดให้เกิดวินัย นับตั้งแต่การเดินก็เป็นวิธีออกกำลังกายอย่างหนึ่ง การออกกำลังกายในแต่ละ ช่วงควรใช้เวลา 15-45 นาที โดยทำต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งรู้สึกว่าเหนื่อย จึงค่อยพัก ในวันหนึ่งๆ ถ้ามีเวลาออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาวันละ 1 ชั่วโมงจะดีมาก และต่อเนื่องนานนับปีจึงจะบอกได้ว่า ผู้ป่วยประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักหรือไม่

            3.จนแล้วจนรอด ต้องพึ่งการรักษาเยียวยา

              ทางเลือกใหม่ของการรักษา ได้แก่การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและได้ผลด้วย Gastric Balloon การใส่บอลลูนที่บรรจุสารน้ำเข้าไปในกระเพาะอาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนัก โดยบอลลูนจะเข้าไปลดความจุของกระเพาะอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และอิ่มนานกว่าเดิม ร่างกายจึงนำไขมันส่วนเกินออกมาใช้เป็นพลังงานแทน ส่งผลให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงในที่สุด

               การทำ Gastric Balloon เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 27 ประกอบกับลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล และมีน้ำหนักเกินจนเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นอกจากเหตุผลเรื่องความมั่นใจ ในรูปร่าง และบุคลิกภาพที่ดีแล้ว การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธียังช่วยชะลอความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่มีผลมาจากความอ้วน

               ขั้นตอนดังกล่าวนี้ ไร้แผลผ่าตัด เพราะบอลลูนจะถูกใส่เข้าไปในกระเพาะอาหารทางช่องปาก ด้วยเทคนิค การส่องกล้อง ตัวบอลลูนทำจากซิลิโคนซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร ภายในบอลลูนจะบรรจุสารน้ำเอาไว้ประมาณ 400-500 ซีซี เมื่อลดน้ำหนักได้ถึงจุดที่พึงพอใจแล้ว สามารถเอาน้ำที่อยู่ในบอลลูนออกได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะใส่บอลลูนไว้ประมาณ 6-12 เดือน

เครดิต: ข้อมูลจาก นายแพทย์ จีรวัส ศิลาสุวรรณ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ผู้เชี่ยวชาญด้านการ ส่องกล้องในระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลพญาไท 2

Facebook Comments Box
Exit mobile version