เรื่องและภาพ : ขาว-ดำ
ปี 2560 ข่าวการเปิดตัวเป็น Transgender ของเขาสร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคมไทยไม่น้อย โดยเฉพาะในแวดวงกีฬาฟุตบอล นั่นเพราะไม่มีใครคาดคิดว่า ผู้ชายซึ่งเคยเป็นผู้ก่อตั้งและนั่งตำแหน่งประธาน ‘ชมรมเชียร์ไทย’ อีกทั้งยังเคยลงสมัครตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอล วันหนึ่งเขาจะแปลงร่างกลายเป็นผู้หญิง
พินิจ งามพริ้ง สำเร็จการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีประสบการณ์การทำงานด้านสื่อมวลชน และด้านการตลาด-การประชาสัมพันธ์ มีความชื่นชอบกีฬาฟุตบอลมากถึงขนาดก่อตั้งชมรมเชียร์ไทยขึ้น เพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่ในการเชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย โดยมีเว็บไซต์ cheerthai.com ซึ่งเขาทำขึ้น เป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจัดกิจกรรมระหว่างสมาชิก
หลังจากเปิดตัว และมีชื่อใหม่ว่า ‘พอลลีน งามพริ้ง’ ที่สหรัฐอเมริกา เธอเดินทางกลับเมืองไทย มาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับธุรกิจร้านอาหาร Pauline Kitchen ในซอยมิสทีน หรือย่านถนนราษฎร์พัฒนา
พอลลีนยังใช้ชื่อเล่นว่า ‘ป้อ’ เหมือนเดิมใช่ไหม
ใช่ ชื่อเดิม ให้คนที่เคยรู้จักและคุ้นเคยกันมาก่อนได้เรียก ชื่อป้อ ฟังดูไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิง แต่ถ้ามีชื่อเล่นที่ฟังดูเป็นชายไปเลยก็คงเปลี่ยน
เป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัวมานานแค่ไหนแล้ว
สองปีแล้วละที่เป็นผู้หญิงทุกวัน
ยังมีความรู้สึกขัดเขินอยู่บ้างไหม
ความขัดเขินไม่มีแล้ว แต่มันยังมีความรู้สึกที่ว่า…ผู้หญิงเขาจะทำอะไรแบบนี้ไหม เช่นว่า เรายังชอบดูมวย ดูฟุตบอล หรือบางทีเวลาไปวิ่งที่สวนสาธารณะ มันเป็นนิสัยเดิมๆ ที่เราชอบชกลม เต้นฟุตเวิร์ก อะไรแบบนั้น ก็กลัวคนมองว่าเราแปลกอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่จะให้เราไม่ทำอะไรแบบนั้น มันก็ไม่ใช่ตัวเรา เรายอมรับในทั้งสอง…หัวใจเป็นหญิง แต่สมองยังเป็นชาย สมองในทีนี้หมายถึงความคิด หรือประสบการณ์
พอลลีนกับพินิจมีความแตกต่างกันเยอะไหม
แตกต่างกันนะ ตอนแรกคิดว่าเป็นคนคนเดียวกัน ตอนที่เป็นพินิจเนี่ย นิสัยของพอลลีนจะคอยช่วยพินิจในหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องการทำกิจกรรมและการบริหารชมรมเชียร์ไทย ซึ่งใช้กลยุทธ์ของผู้หญิง พอเราบอกเรื่องนี้กับคนที่รู้จักไป เขาก็จะว่า มิน่า พี่พินิจไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป ที่มีทั้งความละเอียดและความกระด้าง
ปกติเวลาที่พินิจใช้อารมณ์ จะชี้หน้าหรือมองหน้า คนก็กลัวแล้ว แต่พอลลีนเขาจะมีการพูดที่ประนีประนอม และมองในรายละเอียด ช่างสังเกต พินิจจะเป็นคนพูดดุดัน และไม่ค่อยกลัว หรือไม่ค่อยแสดงออกถึงความกลัว
ทุกวันนี้ตัวเองยังมีความเป็นพินิจอยู่ในบางอารมณ์ แต่มันถูกกดอยู่ เมื่อก่อนความเป็นพอลลีนถูกกดไว้ พอลลีนได้ช่วยอะไรในบางเรื่องโดยที่พินิจไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้พอลลีนเข้าใจแล้ว ก็จะบอกตัวเองว่า เฮ้ย…พินิจ เบาๆ หน่อยนะ (ยิ้ม) พอเริ่มจะมีอารมณ์โมโหใคร ก็พยายามเก็บไว้
สองปีกับการเป็นผู้หญิง พอจะมองเห็นข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของการเป็นผู้หญิงหรือเปล่า
ก็เห็นอยู่นะ เรามองปรุทะลุทั้งความเป็นชายและหญิงของตัวเอง เราเข้าใจทั้งสองเพศ ในแง่ของผู้หญิงเอง เราเห็นทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ ทั้งเรื่องการงาน ชีวิต เพศ และครอบครัวเลยนะ ยกตัวอย่าง พอลลีนเป็นผู้หญิงอยู่อเมริกา เป็นคนที่ค่อนข้าง aggressive พูดจาตรงๆ นิสัยแบบคนอเมริกัน เวลาเดินบนถนนพอลลีนมักจะโดนแซวตลอด คือมี attention เข้าหาเราตลอด ในขณะที่เป็นพินิจ ไปเดินที่ไหน ไม่มีใครแซว เพราะว่าผู้ชายมักจะจีบผู้หญิง ผู้หญิงอาจจะมีชอบพินิจ แต่ว่าไม่จีบ มองเฉยๆ เราจะไม่รู้เลยว่าใครชอบเรา
การเป็นผู้หญิงก็จะได้เปรียบตรงที่ว่า เวลามีใครเข้ามา เราจะรู้ว่าเขามีอะไรเสนอเข้ามา แต่ข้อเสียของผู้หญิง ทั้งที่โน่นและที่นี่คล้ายๆ กัน ส่วนใหญ่จะไม่สามารถ approach ผู้ชายแบบ aggressive ได้ ผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ เขามาแล้วเราถึงจะเลือก แต่ไม่สามารถเข้าไปถึงตัวเขาได้โดยตรง อันนี้มันอาจเป็นค่านิยมหรือนิสัยของผู้หญิง
ที่พูดมาคือเรื่องการหาคู่ ส่วนข้อได้เปรียบเสียเปรียบอื่นอีกหลายอย่าง ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีความประนีประนอม และมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ กว่าผู้ชาย ความสุขง่ายๆ อย่างเช่นนั่งเมาท์มอยกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันไปวันๆ แต่ผู้ชาย บางทีต้องมีเหล้าเบียร์ แล้วพูดจาทับกันไปทับกันมา เดี๋ยวนี้เวลานั่งดื่มสังสรรค์กัน เราก็คิดเหมือนกันว่าเราผ่านชีวิตแบบนั้นมาได้อย่างไร (หัวเราะ) เมาแล้วก็พูดซ้ำเรื่องเดิมๆ น่าเบื่อ แล้วไม่ยอมกลับบ้าน นั่งเมาจนคอพับ แต่ผู้หญิงเขาจะมีลิมิต พอถึงเวลาเขาจะมีความรับผิดชอบรั้งอยู่ สังสรรค์กันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตอยู่ในกรอบตามเดิม
มันมีความแตกต่าง และข้อได้เปรียบเสียเปรียบคนละอย่าง เรื่องเพศ เรื่องฮอร์โมน ทำไมผู้ชายคิดว่าผู้หญิงจะสามารถไปนอนด้วยหลังจากพูดคุยคบหากัน แต่ผู้หญิงไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าเจอกันปิ๊งปั๊งแล้วจะไปมีเพศสัมพันธ์กันเลย อันนี้พูดถึงโดยรวมนะ เพราะว่าผู้หญิงต้องการ emotional connection พาไปนั่งดื่มไวน์ คุยกัน ถูกคอ ช่วยเปิดประตูให้ ถ้ากินที่บ้านก็ช่วยกันล้างจานหรืออะไร
ผู้หญิงข้ามเพศหลายคนต้องต่อสู้เยอะ ตั้งแต่การเปลี่ยนจากชายมาเป็นหญิง ทีแรกคงไม่อยากจะสวยหรอก แค่อยากจะเป็นคนดี สวยไม่สวยก็อีกเรื่อง แต่แน่นอน ธรรมชาติของผู้หญิงทุกคนจะต้องเดินไปสู่ความสวย มันก็เลยอาจจะดูเหมือน extreme กว่าที่คิด
ก่อนหน้านี้เคยทดสอบตัวเองไหมว่า จริงๆ แล้วพินิจเป็นอะไรกันแน่ เกย์หรือกะเทย
เราเคยลองไปบาร์เกย์นะ เพื่อค้นหาตัวเองว่าเป็นอะไร แล้วพบคำตอบว่าเราไม่ใช่ และไม่อยากให้ใครเรียกเราว่าเกย์ แต่เราเป็น Transgender เราไม่ชอบเกย์ อันนี้ไม่ได้หมายความว่ารังเกียจเกย์นะ คือไม่ชอบที่จะมีความสัมพันธ์ด้วย
เคยมีคลิปวัยรุ่นเกย์เปิดตัว ที่โผล่ไปหาพ่อกับแม่แล้วพูดว่า “ผมเป็นเกย์” สำหรับพอลลีนมีประโยคเปิดตัวแบบนั้นไหม
มีนะ แต่มันไม่รวบรัดขนาดนั้น เราไปดูเรื่องแพตเทิร์นของการพูดหรือการบอก ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่เคยบอกใคร เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไร แพตเทิร์นนั้นเป็นจดหมายที่เขาแชร์กัน ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ เราต้องมีคำอธิบาย ไม่ใช่แค่คำเดียวว่า ผมเป็นเกย์ หนูเป็นกะเทย บางทีมันอาจเกิดความรู้สึกแอนตี้อย่างรุนแรงได้
สิ่งที่ดีที่สุดคือ ก่อนอื่นเราควรเรียบเรียงคำพูดคล้ายเขียนบทความประชาสัมพันธ์ทางการตลาด อันดับแรกคือเน้นให้เห็นถึงความรัก พ่อ…ลูกต้องขอบคุณพ่อที่ให้ความรักและดูแลลูก แต่ว่ามีสิ่งที่อยู่ในใจของลูกที่มันไม่เคยหายไป และมันจะเป็นอุปสรรคในการที่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ลูกก็ยังรักพ่ออยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งนั้นที่ไม่เคยหายไป มันคือเรื่องที่ลูกมีความคิดว่าอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นแบบนี้ หรือลูกจะเปลี่ยนให้ทุกคนยอมรับว่าลูกเป็นคนที่ชอบเพศเดียวกัน อันนี้คือตัวอย่างนะ ซึ่งมันควรจะมีที่มาที่ไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพ่อจะยอมรับลูกในฐานะผู้หญิงหรือไม่ ลูกก็ยังรักพ่อต่อไป คือมันควรจะมีการอธิบาย และไม่มีทางที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ซึ่งให้กำเนิดเรามาจะปฏิเสธเรา
เคยมีคนแนะนำให้เขียนเป็นจดหมาย และนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยขณะที่พ่ออ่าน เขาอาจจะอ่านไปนิดหนึ่งแล้วถามว่านี่มันเรื่องอะไร เราก็ต้องบอกว่าให้พ่ออ่านจนจบ (หัวเราะ) ปัญหาของคนคือฟังไม่จบ คิดไปเองแล้ว
นั่นเป็นวิธีการอย่างหนึ่ง แล้วหลังจากนั้น…เชื่อเถอะว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่จะต้องกอดลูก แล้วร้องไห้ และเรายังอยู่ตรงนั้นเพื่ออธิบายต่อ ถ้าเขามีคำถาม เช่น แล้วลูกจะเป็นอย่างไร จะทำอะไร จะผ่าตัดแปลงเพศไหม คือไม่ใช่แค่บอกว่าลูกเป็นเกย์หรือเป็นกะเทยแล้วจบ อย่างนั้นเราว่ามันเร็วเกินไป สิ่งสำคัญคือคำอธิบาย ส่วนเหตุผลต่างๆ จะกระจอกไปเลยถ้ามีความรัก เพราะความรักของพ่อแม่ไม่ต้องมีเหตุผล ต่อให้ยกแม่น้ำทั้งห้ามา ถ้าคุณไม่มีความรักใส่เข้าไปในข้อความ หรือในการพูดจา ก็จะไม่มีวันที่เขาจะเข้าใจ
ต้องคุยกันด้วยความรัก
ใช่ ถ้าคุยกันด้วยความรัก เราไม่ต้องหาเหตุผลมาอ้างเลยว่า เป็นผู้ชายแล้วทำไมไม่เป็นผู้ชายล่ะ ความรักต่างหากที่เป็นเหตุผลที่แท้จริง ฉะนั้นถ้าจะสามารถแนะนำใครที่กลัวในการสารภาพ ขอให้พูดด้วยความรักและความจริงใจของตัวเองที่มีจะดีที่สุด และจะก้าวข้ามไปสู่การยอมรับของคนอื่นได้
ตัวพอลลีนเอง แม่เคยพูดประโยคหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เอาละ…โอ.เค. สบายใจที่สุดแล้ว คือแม่บอกว่า แม่เป็นผู้ให้กำเนิด ดังนั้นแม่อนุญาตให้ลูกเป็น ให้ลูกเดินไปยังจุดที่ลูกต้องการ หลังจากที่เราอยู่อย่างไม่มีความสุขมา ซึ่งแม่ก็เห็น พอแม่พูดคำนั้น มันเหมือนเป็นบัญชาจากสวรรค์ เพราะว่าแม่ไม่เคยมาทวงอะไร ไม่ว่าเวลาเราไม่จัดเก็บที่นอน หรือส่งเงินไม่ตรงเวลา แม่ไม่เคยทวง แต่วันที่เราแย่ แม่ทวง ตรงนั้นคือดีมาก และมันเป็นการปลดโซ่ตรวน
ซึ่งพอผ่านจุดนั้นปุ๊บ เราก็รู้สึกกังวลน้อยลง เราจะไม่เอาตรงนี้มาเป็นคำถามว่าเราจะเป็นชายหรือเป็นหญิงอีก เพราะแม่เราอนุญาตน่ะ และมันก็เป็นความมั่นใจทำให้เราเดินหน้าต่ออย่างสบายใจ
กับคนรอบข้างล่ะ พอลลีนบอกด้วยวิธีไหน
ก่อนไปอเมริกาเราบอกกับครอบครัวนะ หมายถึงภรรยา บอกกับแม่ และน้องชาย ไม่กี่คน ความจริงภรรยาน่ะรู้มาก่อนสองปีแล้ว ซึ่งก็อยู่ในภาวะที่อึดอัด แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ที่อึดอัดเพราะว่าเราก็เห็นใจผู้หญิง แต่ว่าสำหรับเรามันไม่ใช่ทางเลือก เราเลือกที่จะไปเป็นแบบนี้ คือเราเลือกที่จะเปลี่ยน ที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข
พอไปอยู่อเมริกา และตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงจริงๆ ก็โทร.คุยกับพ่อ และค่อยๆ บอกเพื่อนๆ ที่สนิททีละคน จนตอนหลังเริ่มกลายเป็นข่าว
พอลลีนประทับใจกับคนรอบข้างทุกคนนะ หลายคนบอกว่าเราโชคดี ก็อาจจะใช่อย่างนั้น โชคดีที่มีคนแวดล้อมที่ดีที่เข้าใจ อย่างลูกชายของเรา เขาก็เห็นความเป็นแมนของเราจากกิจกรรมที่เราทำ เราถูกขู่ทำร้ายร่างกายหรืออะไรต่อมิอะไร เห็นเราต่อสู้กับคนในวงการ เขาก็จะเห็นเราจากเฟซบุ๊ก เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่เขาอายุเก้าขวบ เราแยกกับแม่เขา แต่เขาก็จะดูเราจากเฟซบุ๊ก จากข้อความที่คุยกัน
ตอนที่บอกลูกชาย เขามีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
เราก็ถามลูกชายหลังจากที่บอกเขาแล้วว่า ลูกจะอายเพื่อนๆ ไหมที่พ่อเป็นแบบนี้ ลูกบอกว่า พ่อ…ปั๊บเชื่อว่าเพื่อนของปั๊บเป็นเพื่อนที่ดี และเขาก็ซับพอร์ตปะป๊ามาตลอดในเรื่องฟุตบอลหรืออะไร
ไม่ใช่แค่เขายอมรับได้ แต่เขาทำเราก็สบายใจด้วย สบายใจว่าไม่มีคำพูดของใครจะทำร้ายเขาได้ เขายังถามเราว่า แล้วพ่อจะอายไหมถ้าญาติๆ พูดว่าเป็นกะเทย เราบอกเขาว่า พ่อไม่อายหรอก แล้วลูกจะต้องอายใคร เราไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกคนรอบตัวเราช่วยซัพพอร์ต เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดี แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นวิธีการบริหารจัดการ ในเมื่อเราได้พยายามทำตามความคาดหวังของทุกคนมาตลอดแล้ว มาถึงจุดหนึ่งเราก็อยากมีชีวิตของเรา
มันก็เลยดูเหมือนจะง่าย แต่ความยากที่สุดก็คือ ตอนที่เราต้องต่อสู้กับตัวเอง เพราะเราต่อสู้มานาน จึงทำให้อย่างอื่นดูเป็นเรื่องง่าย
ก้าวต่อไปของพอลลีนจะเป็นอย่างไร
เราก็จะมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น แต่ตามวัยนะ (ยิ้ม) มันจะมีความยากอยู่ที่ว่า เราเพิ่งเป็นผู้หญิง เปรียบเหมือนวัยแรกแย้ม แต่ด้วยวัยจริงๆ เราก็กลางคนแล้ว ต่อจากนี้ไปเราจะเป็นผู้หญิงมากขึ้น ในทีนี้หมายถึงเราจะโอนอ่อนผ่อนปรนกับตัวเองมากขึ้น คือก่อนหน้านี้หรือปัจจุบันมันยังมีความอิหลักอิเหลื่อ อย่างเช่น เราจะพูดแบบนี้ได้ไหม ผู้หญิงยังทำกิจกรรมแบบนี้ได้ไหม หรือบางทียังมีแบบ…คิดถึงพินิจ
เมื่อวานซืนก็ยังฝัน แบกพินิจไปด้วย เพื่อนของพินิจนั่งอยู่ด้วย แล้วก็มองดูว่าเราทำอะไรกับพินิจ (หัวเราะ) เคยดูหนังอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ตัวละครแบกศพไปด้วย มันคล้ายๆ กับพินิจนั่งอยู่แบบไม่มีชีวิตแล้ว มันเหมือนเป็นจิตใต้สำนึกที่เรายังมีความรู้สึกผิด ยังคิดถึงคนเก่า แต่ทุกวันนี้เวลามองหน้าตัวเองในกระจกก็รู้ว่ามันไม่ใช่แล้ว
สิ่งที่ทำได้ก็คือ คิดถึงเขาในเรื่องดีๆ และให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้ว และพอลลีนก็จะได้เป็นผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงจริงๆ เสียที นี่แหละคือหนทางข้างหน้าที่พอลลีนอยากจะทำ อยากจะเป็น คือทำให้ทุกอย่างบาลานซ์ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ต้องไปกังวลกับเรื่องของพินิจมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายแล้วมันจะทำให้เราเป็นพอลลีนที่ไม่มีความสุขอยู่ดี
พอใจเข้าใจหรือรับรู้ถึงสาเหตุไหมว่า ทำไมพอลลีนยังฝันถึงพินิจอยู่
เราเข้าใจว่ามันคงเป็นความกังวลนะ เป็นความรู้สึกคล้ายกับว่า เรามาถูกทางแล้วหรือยัง เป็นคำถามเหมือนตอนที่จะผ่านม มีอยู่วันหนึ่งก่อนผ่า ก็คิดว่า ตกลงเราจะผ่าตัดจริงๆ ไหม เราเปลี่ยนได้ไหม มันเหมือนคำถามถึงความชัดเจน เป็นความต้องการความมั่นใจจริงๆ ถ้าเราไม่ถามเลย เราจะมีความรู้สึกว่า เราเดินไปแล้วจะไม่มั่นใจเท่าที่ควร แต่ถ้าถามแล้วคำตอบยังเป็นแบบเดิม นั่นคือสิ่งที่เราต้องการอยู่แล้ว แต่มันก็ต้องถามเพื่อที่ โอ.เค.แล้วนะ ตอนนี้ก็คือจะไม่กลับไป
การคิดถึงพินิจก็เหมือนการตั้งคำถามว่า นี่คือสิ่งที่เราต้องการมาตลอดชีวิต และเรายอมที่จะไม่มีพินิจแล้ว พินิจยอมเราจริงๆ แล้วใช่ไหม
แล้วทำไมพินิจถึงกลับมาในความฝันซ้ำอีก
นั่นแหละ มันเป็นความรู้สึกที่ว่า…ต้องเข้าใจว่ามันอยู่มาตลอดทั้งคู่ และพินิจยังอยู่แบบนั้นตลอด แล้วมาถึงจุดหนึ่งที่พอลลีนข้ามมาเป็นคนใหม่ ทำให้…พอลลีนยังมีความมั่นใจน้อยกว่าเดิม จริงๆ แล้วเหมือนเดิมเลย เหมือนตอนที่พินิจต้องต่อสู้เพื่อที่จะเป็นบทนำในช่วงวัยเด็ก ตอนที่เริ่มเล่นกีฬา ตอนที่เริ่มมีการชกต่อยกับเพื่อน ตอนที่เริ่มใช้ชีวิตผู้ชาย มันก็จะมีอะไรแบบนี้แหละ แล้วก็จะมีความฝัน คือฝันว่าเป็นผู้หญิง มันก็ต้องต่อสู้กันภายในตัวเอง
พอมาจุดนี้ พอลลีนเป็นบทนำ แต่ก็ยังมีความมั่นใจไม่เต็มร้อยว่าพอลลีนนำได้นะ เหมือนพินิจตอนเด็กๆ ที่ไม่มั่นใจ ไม่กล้าพูดกับใคร ไม่รู้ว่าจะเตะฟุตบอลหรือทำอะไรได้ดีไหม เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วจะทำงานได้ดีไหม จนกระทั่งอายุยี่สิบกว่าถึงจะเริ่มคุ้นเคยกับมันแล้ว และมั่นใจแล้วว่า เออ…เป็นพินิจก็ได้นี่หว่า ฟุตบอลก็เล่นได้
เหมือนกัน ตอนนี้พอลลีนก็อยู่ในจุดนั้น แต่ตรงนี้มันจะเร็วเพราะว่าเราผ่านความเป็นพินิจมาแล้ว และรู้ว่าพินิจคืออะไร แต่เรายังไม่รู้ว่าเป็นพอลลีน เป็นพอลลีนแล้วจะเป็นอย่างไร มันเป็นการเปลี่ยน การก้าวข้ามที่ยากกว่า ตอนนั้นเราก้าวข้ามจิตใจที่เป็นหญิงไปเป็นผู้ชาย ยากกว่าแต่ไม่มีใครรู้ เพราะมันไม่เป็นข่าว พินิจยังเป็นเด็ก ตอนนี้มันง่ายกว่า เพราะเราเคยผ่านชีวิตมาแล้ว และรู้ว่ามันก็แค่นั้นแหละ แต่ตรงนี้เราไม่เคย มันก็เลยมีความยากของมันอยู่
วันนี้เป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้ว พอลลีนยังรู้สึกยุ่งยากกับเรื่องการแต่งกายอีกไหม
ยุ่ง (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นความท้าทายในแต่ละวันนะ ยุ่งยากคือต้องพยายามเลือกเสื้อผ้าใส่ไม่ให้ซ้ำกันบ่อย กระโปรงมีอยู่ สำหรับใส่เวลาไปเที่ยวกลางคืน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกระโปรงยาว ไม่ค่อยมั่นใจกับกระโปรงสั้น แต่ถ้าเป็นกระโปรงยาวจะมั่นใจมากขึ้น
เรื่องการแต่งหน้าล่ะ ขั้นตอนไหนยากที่สุด
ตอนปัดขนตา (หัวเราะ) เราเป็นคนมีขนตาน้อย อีกอย่างที่ยากคือการเขียนขอบตา เพราะเราอายุมากแล้ว สายตายาว ต้องระยะไกลถึงจะเห็น แต่ยิ่งไกลก็ยิ่งเห็นรายละเอียดน้อย พอใกล้ก็มองไม่เห็นเลย (หัวเราะ)