Site icon Spotlight Daily

กนกฉัตร มรรยาทอ่อน ลูกผู้ชายชื่อ ‘ไต้ฝุ่น’

เรื่อง : ขาว-ดำ
ภาพ : Dreambox

กนกฉัตร มรรยาทอ่อน
ลูกผู้ชายชื่อ ไต้ฝุ่น

                นักร้องตัวแทนภาคเหนือจากจังหวัดเชียงใหม่ ที่ผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายในการประกวดร้องเพลงรายการ ‘KPN Award’ ครั้งที่ 21 และสามารถคว้าตำแหน่งรองนักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทยอันดับ 1 มาครองได้สำเร็จ จากนั้นโอกาสก็เปิดให้เขาเข้าสู่แวดวงการแสดง 
                แม้จะก้าวมาจากการเป็นนักร้อง แต่ ‘ไต้ฝุ่น’ กนกฉัตร มรรยาทอ่อน ก็มีผลงานแสดงที่คล้ายจะโดดเด่นกว่า จาก ‘เธอเท่านั้น’ และ ‘เพลงรักของเธอ’ มิวสิคัลที่นำบทเพลงของสุนทราภรณ์มาร้อยเรียง เขาก็เริ่มกลายเป็นที่รู้จักของแฟนละครใน ‘ดาวเคียงเดือน’ ทางช่อง 3 และ ‘หัวใจศิลา’ ทางช่อง One
                ล่าสุด ไต้ฝุ่นกลับมาเยือนเวทีละครเพลงอีกครั้ง กับบท ‘พ่อมาก’ ใน ‘แม่นาค เดอะ มิวสิคัล’ ที่ค่ายดรีมบอกซ์นำกลับมาเปิดการแสดงอีกครั้ง ในวาระครบรอบ 33 ปี

                ผมชอบงานที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ไม่ว่าเล่นดนตรี หรือร้องเพลงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วผมชอบเล่นดนตรีเสียมากกว่า เพราะผมเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็กแล้ว เล่นโดยที่ฝึกเอง และฝึกมาเรื่อยๆ จนรู้สึกชอบมันจริงๆ รู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็มีกีตาร์หลายตัวมาก

               งานไหนที่ผมชอบ ผมจะตัดสินใจด้วยตัวเองก่อน ผมจะถามตัวเองก่อนว่าอยากทำจริงไหม ถ้าชอบทำจริงก็จะไปบอกแม่ บอกครอบครัวว่าเราเลือกทางนี้นะ และถ้าตัดสินใจแล้ว ไปบอกแล้ว ถึงแม่จะไม่ชอบผมก็จะทำอยู่ดี

              วงการเพลงทุกวันนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ยากและไม่ได้ง่าย ผมไม่ได้มองมันเป็นธุรกิจ ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น และที่ไม่ได้ง่ายคือ ขั้นตอนการทำเพลง ที่จะมีความยากเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อผมไม่ได้มองเป็นธุรกิจ ไม่ได้มองว่าเราจะต้องทำเพลงออกมาแบบ…ให้ทุกคนฟัง ดู แล้วชอบแบบเรา ผมทำเพลงเฉพาะที่เราอยากเล่น สำหรับคนที่ชอบก็น่าจะเป็นเฉพาะกลุ่มที่ชอบแนวนั้นๆ เหมือนกับเรา คือไม่ได้คิดว่าจะต้องทำเพลงมาเพื่อทุกคนขนาดนั้นครับ

              การแสดงเป็นอะไรที่ท้าทายตลอดเวลา ผมรู้สึกว่ามันเป็นงานที่เรารัก มีอะไรที่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทุกเรื่องที่จะได้เล่นมันไม่มีเรื่องไหนที่ง่ายเลย ไม่มีอะไรที่ตายตัวว่า เรื่องนี้ต้องเล่นแบบไหน ทุกเรื่องมีความแตกต่างกัน ฉะนั้นผมก็ต้องพัฒนาตัวเอง ต้องทำการบ้านอยู่เสมอ และจะต้องเจออุปสรรคอยู่เสมอ เพราะว่าแต่ละครั้งที่ผมแสดงเป็นคนอื่น เริ่มแรกผมไม่สามารถเป็นตัวละครนั้นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จนกว่าผมจะได้ลองใช้ชีวิต ลองทำในแบบที่ตัวละครนั้นได้ มันก็ต้องใช้เวลา การแสดงเป็นอะไรที่ยากตลอดเวลาครับ

             ความยากของบท พ่อมาก อย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่เคยอยู่ในยุคนั้นมาก่อน เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางรู้ได้จริงๆ เลยว่า คนสมัยนั้นเขามีชีวิตอยู่ มีกิจกรรม ใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร สิ่งที่น่าเทียบเคียงได้ก็คงเป็นการย้อนนึกถึงตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ที่เชียงใหม่ ช่วงที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียเข้ามา ตอนนั้นผมยังใช้เวลาอยู่กับสิ่งแวดล้อม กับเพื่อน กับละแวกบ้าน ผมเคยไปเที่ยวตลาดนัดแบบที่เขาขายวัวขายควายกัน ผมเคยไปขี่ควาย แค่นั้นก็รู้สึกว่ามีความสุขแล้ว ผมเข้าใจว่าคนสมัยก่อนน่าจะมีความสุขที่เรียบง่าย ไม่ได้หวังอะไรสูง อาจจะมีความหวังแต่คงไม่สูงเท่าในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันมันทำให้เราเห็นชีวิตคนอื่นมากจนเกินไป ทำให้เรามีความอยากได้อยากมี แต่คนสมัยนั้นมีความเรียบง่ายมากกว่า ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งตรงหน้ามากกว่าปัจจุบันที่เป็นโลกออนไลน์ มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นบทที่เล่นยาก เพราะตัวเองชินกับโลกสมัยใหม่ โลกโซเชียลเสียแล้ว ผมเลยต้องเขียนในบทของผมไว้ก่อนว่า พ่อมากเป็นคนอย่างไร เพื่อที่จะต้องอ่านก่อนที่จะเข้าไปในบท เขียนไว้ว่าพ่อมากเจอกับแม่นาคอย่างไร และสัมพันธภาพกับตัวละครอื่นๆ เป็นอย่างไร ผมต้องเขียน และต้องอ่านก่อน เพราะไม่อย่างนั้นจะนึกเฉยๆ ไม่ได้

            ความรักแบบพ่อมากกับแม่นาคยังมีอยู่ ผมเชื่อว่า ความรัก ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยมันก็เหมือนเดิม รักกันชอบกัน แต่อยากบอกว่า รักของพ่อมากมันคือความรักที่โคตรจริง ด้วยตัวที่พ่อมากเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ถ้าเทียบกับปัจจุบัน ผมว่าคนแบบพ่อมากก็ยังมีอยู่ครับ และถ้าจะเปรียบเทียบความรักนั้นกับของตัวผมเอง ก็จะเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์ที่ต้องใช้เวลา คือตอนนี้คิดว่าน่าจะคล้ายกัน ด้วยระยะเวลาที่เรามีความรักมา มันก็ค่อนข้างนานแล้ว ประกอบกับว่ามันเป็นความสบายใจไปแล้ว ไม่ต้องคอยระแวงว่าใครจะมีใครอื่น ก็น่าจะคล้ายๆ กันกับพ่อมากและแม่นาคครับ

            แฟนผมเป็นคนนอกวงการ ตอนนี้ผมไม่ได้คบกับนักแสดงสาว(ที่เคยเป็นข่าว)แล้วนะครับ ผมคบกับคนนอกวงการ เจ็ดปีแล้ว ความสัมพันธ์ก็ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปตามสเต็ปของมัน คือไม่ได้อยู่ในช่วงทดลองดูใจกันแล้ว แต่อยู่ในช่วงที่กำลังค่อยๆ สร้างอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันครับ

            เป้าหมายในอนาคตที่ผมอยากทำให้สำเร็จ อย่างแรกเลยน่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนอยากทำเหมือนกัน นั่นคือ อยากเลี้ยงดูพ่อแม่ ผมไม่อยากให้พ่อแม่ทำงานอีกแล้วครับ ตอนนี้ผมเลี้ยงดูแม่ แต่พ่อยังทำงานอยู่ และใกล้เกษียณแล้ว นี่อาจจะเป็นความฝันของลูกหลายๆ คนนะครับ ที่อยากจะทดแทนพระคุณพ่อแม่ อีกอย่างหนึ่งที่ผมใฝ่ฝันอยากทำ คือ โรงแรมแมว ด้วยความที่ผมเป็นคนรักแมว ชอบแมวมาก แล้วผมมีพี่สาวเป็นสัตวแพทย์ด้วย ก็เลยมีความคิดและคุยกันว่า อยากทำโรงแรมแมวที่ฝากแมวและเป็นคลินิกด้านล่างด้วย ตอนนี้ทำแค่คลินิกที่เชียงใหม่ แต่อยากจะทำโรงแรมแมวที่กรุงเทพฯ ให้ได้ เพราะในกรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ และคนส่วนใหญ่ทำงานประจำกัน พอถึงเทศกาลก็จะออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหมด แล้วจะมีปัญหาเรื่องที่ฝากหมาฝากแมว บางครั้งจะไปฝากที่คลินิกก็ลำบากในแง่ที่ว่า คลินิกจะมีกรงเสียส่วนใหญ่ แมวก็จะเครียดได้ ผมเลยอยากทำเป็นโรงแรม มีห้องให้เลือก

             ความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเชียงใหม่ ที่ผมมีน่าจะเป็นช่วงวัยเด็ก ก่อนนั้นผมประกวดร้องเพลงในเชียงใหม่เยอะมาก คือทุกที่ทุกห้างผมไปมาหมดแล้ว ด้วยความที่อยากเป็นนักร้อง ผมรู้แต่ว่าต้องประกวด เพื่อที่จะได้เป็น แต่หลังจากนั้นไม่รู้แล้วว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป และที่ตลกและเป็นความทรงจำที่ดีก็คือ เมื่อก่อนผมจะผอมมาก เวลาไปประกวดร้องเพลงในเชียงใหม่ก็มักจะมีคนติเรื่องความผอม เรื่องเสียงที่ร้อง สองอย่างนี่จะได้ยินประจำ แต่ผมมีแม่ที่คอยสนับสนุนด้านจิตใจเสมอ ผอมไปใช่ไหม แม่ก็จะหากางเกงอีกตัวมาให้ใส่ เป็นสองตัว ข้างบนผอมไป ก็ใส่เสื้อซ้อนกัน เอาแจ็กเก็ตทับไปอีกตัวหนึ่ง มันจะได้ดูว่าตัวใหญ่ ใครจะได้ไม่ดูถูกเรา แต่ประกวดทีไรก็ไม่เคยชนะสักที

            และเชียงใหม่ ยังชวนให้ผมนึกถึงความลำบากสมัยก่อนด้วยครับ กว่าที่ผมจะมีวันนี้ได้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ เมื่อก่อนผมเหนื่อยมาก และคิดมากด้วย ว่าจะสมัครเข้า ‘The Star’ หรือ KPN ดี เขาเอาแค่แปดคน คนไทยมีตั้งหกสิบกว่าล้านคน แต่เขาเอาแค่แปดคน จะเป็นเราได้อย่างไร ไม่มีทาง แค่ผมประกวดร้องเพลงในเชียงใหม่ มีคนประกวดด้วยกันแค่ยี่สิบคน ผมยังไม่ติดเลย แต่ผมก็นึกถึงคำที่แม่สอนด้วย คือ ถ้ามีโอกาสร้อยครั้ง ลองไปเลยร้อยครั้ง มันต้องมีอย่างน้อยสักหนึ่งครั้งที่เป็นของเรา ซึ่งพอผมลองไปเรื่อยๆ ใครจะรู้ว่า ครั้งเดียวในหนึ่งร้อยครั้ง มันทำให้ผมติด KPN และทำให้ผมมาถึงทุกวันนี้

Secret Addresses

เวลากลับไปที่เชียงใหม่ทุกครั้ง ผมชอบที่จะแวะ ร้านกาแฟที่อยู่แถวบ้านผม แถว ม.แม่โจ้ ชื่อว่า มอกม่วน ตี้สวนอีแม่ (48 หมู่ 2 หมู่บ้านหนองเต่าคำใหม่ ถนนเชียงใหม่ป่าเหมือด สันทราย โทร. 082-892-2473) ความพิเศษของร้านนี้คือเขาจะมีเมนูกาแฟที่แปลกๆ และอีกอย่างคือมีโฮมสเตย์ที่นั่นด้วย วัตถุดิบทุกอย่างที่ขายที่ร้าน ไม่ว่าผักหรือผลไม้ เขามีปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน คือไปถึงที่นั่นแล้วมันเหมือน back to basic เราหนีจากโลกวุ่นวาย แล้วพอกลับมาตรงนี้มันทำให้รู้สึกว่า โลกเราก็แค่นี้ มันทำให้ผมใจเย็น ผ่อนคลาย ใกล้ธรรมชาติ ร้านนี้ดีจริงๆ

เสพศิลป์ กลิ่นกาแฟ บ้านนอก (ตั้งอยู่บนเส้นทางเชียงใหม่สะเมิง ต.หนองควาย อ.หางดง โทร. 088-251-8387) เป็นร้านกาแฟที่อยู่ตรงธารน้ำ เราต้องถอดรองเท้า เดินลงด้านล่างไปที่ร้าน เพื่อที่จะไปนั่งแช่น้ำในลำธาร สั่งกาแฟมาดื่ม ร้านนี้น่ารักดี ได้ฟีลธรรมชาติ

อีกร้านหนึ่งที่มีผลต่อจิตใจตั้งแต่สมัยเด็ก คือร้าน ‘โจ๊กช้างม่อย’ (ข้างธนาคารกรุงเทพ สาขาศรีนครพิงค์ กาดหลวง โทร. 088-251-2058) เป็นร้านโจ๊กที่ผมกินมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กอนุบาล จนถึงชั้นประถมต้นๆ เจ้าของร้านเป็นอาหมวย อายุห้าสิบกว่าๆ แล้ว โจ๊กร้านนี้อร่อยมาก ทุกครั้งที่สั่งโจ๊กมาผมต้องพยายามกินให้หมด เพราะว่าสงสารเขา แม่เล่าให้ฟังว่านั่งกินโจ๊กแล้วมองหน้าอาหมวยเจ้าของร้านไปด้วย เพราะผมชอบอาหมวยไงครับ ร้านนี้นอกจากเป็น secret address ของผมแล้ว ยังเป็น secret ของผมที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังด้วยครับ

 

แม่นาค เดอะ มิวสิคัล

บทละครและคำร้อง: ดารกา  วงศ์ศิริ
กำกับการแสดง: สุวรรณดี จักราวรวุธ
ประพันธ์ดนตรี: ไกวัล กุลวัฒโนทัย, สุธี แสงเสรีชน, พลรักษ์  อมาตย์ธนเสฐ
นำแสดง: ธีรนัยน์ ณ หนองคาย, มณีนุช เสมรสุต, กนกฉัตร มรรยาทอ่อน (ไต้ฝุน KPN), นรินทร ณ บางช้าง, อรรวรรณ เย็นพูนสุข, ภคมน บุณยะภูติ, เสกรัก ชัยศรสรายุทธ, ญาณี ตราโมท, เด๋อ ดอกสะเดา, ศรัณย์ ทองปาน, ดิษย์กรณ์ ดิษยนันท์
เปิดการแสดง:  16–17 / 22–23–24 / 30 พฤศจิกายน 2562 และ 1 ธันวาคม 2562    
โรงละคร M Theatre ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
จองบัตรได้ที่: www.dreambox.co.th หรือ Hotline: 085-416-6661-4 (11.00 น-19.00 น.)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่  ดรีมบอกซ์:  02-715-3547-9

Facebook Comments Box
Exit mobile version