เรื่อง : ขาว-ดำ
“ซันเต๋อ” นักวาดภาพประกอบวัย 27 ปี จัดอยู่ในหมวดคนรุ่นใหม่และระดับแถวหน้า
สำเร็จการศึกษาจากคณะมัณฑนศิลป์ ออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
เริ่มงานเป็นครีเอทีฟ-อาชีพในฝันของเขา-ที่บริษัทโฆษณา JWT
ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปี 4 ควบคู่กับงานวาดภาพประกอบ
“ก่อนหน้านั้นผมยังไม่เชื่อว่าการวาดรูปอย่างเดียวจะสามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้ ก็เลยมีความเชื่อเหมือนคนทั่วไปว่า การทำงานออฟฟิศมันมีรายได้แน่นอนกว่า” ซันเต๋อบอก เขาทำงานทั้งสองอย่างควบคู่กันไปนานถึง 5 ปี ก่อนตัดสินใจเดินทางไปเรียนภาษาและศิลปะเพิ่มเติมที่นิวยอร์กเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว และเดินทางกลับมาเมืองไทยช่วงสั้นๆ เมื่อเดือนที่ผ่านมา
“ผมไปเรียนเป็นคอร์สสั้นๆ ครับ” เขาเล่า “ทั้งภาษาและศิลปะเลย ตอนที่ตัดสินใจไปเพราะผมเบื่อ รู้สึกว่าตัวเองทำงานมาสักพักแล้ว เริ่มเบื่อรูปแบบการใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือน อยากลองไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกดูบ้าง” สาเหตุที่เลือกนิวยอร์ก เขาบอกว่าเพราะเป็นเมืองที่ดูสนุก “มีความหลากหลายของเชื้อชาติ และวัฒนธรรม ผมคิดว่าน่าจะได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ จากที่นั่น”
นอกเหนือจากภาษาและศิลปะแล้ว ซันเต๋อเปรยว่า หากมีโอกาสเขายังอยากเรียนการทำกาแฟและขนมเพิ่มเติมด้วย “ผมยังไม่ได้กำหนดเรื่องเวลา” เขาว่า “ผมเรียนและทำงานไปด้วย คือผมยังรับงานวาดรูปอยู่ คิดว่าอิ่มกับนิวยอร์กเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับ อาจจะอีกปี หรือสองปี”
ซันเต๋อลำดับภาพกิจวัตรประจำวันของตนเองที่นิวยอร์กให้ฟัง “วันไหนถ้าไม่ออกไปเรียน ผมก็ตื่นมาทำกาแฟ เพราะชอบกาแฟมาก ต้องดื่มทุกวัน แล้วสนุกกับการทำอาหาร ผมอยู่เมืองไทยไม่ค่อยได้ทำ เพราะออกไปซื้อกินถูกกว่า แถมมีทุกอย่างให้เลือก” ผิดกับที่นิวยอร์ก ซึ่งหากินยากแถมราคาแพง “ค่ำๆ ก็ออกไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อน ไปตามงานอีเวนต์บ้าง งานที่โน่นน่าตื่นเต้นและสนุก”
อีกอย่างที่เขากำลังเริ่มทำ คือ แบรนด์ Suntur Store ร่วมกับเพื่อน เป็นการนำเอางานของเขาเองมาต่อยอดเป็น Lifestyle Product และ Illustrations ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จออกมาให้เห็นกันในเร็วๆ นี้ และจะจำหน่ายทั้งที่เมืองไทยและที่นิวยอร์ก
“ผมชอบนิวยอร์กตรงที่อิสระครับ จะทำอะไรก็ได้” ซันเต๋อเล่า “แค่นั่งมองคนในรถไฟใต้ดินก็เพลินแล้ว คนอยากร้องเพลงก็ร้อง อยากเต้นก็เต้น แต่ละคนมีความเป็นตัวเองมากๆ อีกอย่างที่ผมชอบคือบรรยากาศ ไม่ว่าตามบาร์หรือคาเฟ่ ที่นั่นมีร้านหลากหลายแนวมากๆ มีให้เลือกตั้งแต่ Slow Life ไปจนถึง Fast Life รวมถึงผู้คนที่นั่น ที่เห็นคุณค่าของศิลปะ เพื่อนๆ ผมจะรู้สึก Wow กับผมมากที่ผมวาดรูปได้”
แต่สิ่งที่ไม่เขาชอบเกี่ยวกับนิวยอร์กก็มีเหมือนกัน ไล่เรียงตั้งแต่ค่าครองชีพ “ผมรู้สึกว่าทุกอย่างแพงมากๆ เลยครับ” เขาว่าพลางหัวเราะ “บางอย่างสามารถซื้อได้ราคาถูกในเมืองไทย แต่พอไปขายที่โน่นมันแพงขึ้นเยอะ อย่างอุปกรณ์วาดรูปนี่แพงมากครับ” และอีกอย่างคือ ความวุ่นวาย “นิวยอร์กวุ่นวายจริงๆ มีเสียงแตรรถ เสียงหวอรถดับเพลิงดังอยู่ตลอดเวลา”
เกือบ 1 ปีแล้วที่ซันเต๋อไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน เราถามเขาว่าได้ข้อคิดอะไรให้กับตัวเองบ้าง?
“เยอะเหมือนกันครับ” เขาตอบ “ข้อแรกคือ ไม่มีที่ไหนสบายเหมือนบ้านตัวเอง ที่โน่นไม่ค่อยมีคนเอาใจ เราต้องดูแลตัวเอง มันทำให้เราโตขึ้น ข้อสองคือ ต้องเอาจริงเอาจังกับชีวิตมากขึ้น ผมใช้ชีวิตที่โน่นด้วยเงินตัวเอง ผมทำงานเก็บเงินเพื่อไปที่นั่น ซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง บวกกับยังมีค่าใช้จ่ายที่เมืองไทยอีก ก็เลยมีความกดดันพอสมควร ทำให้ผมอยากทำอะไรเป็นของตัวเอง พยายามพัฒนาตัวเองทั้งเรื่องฝีมือและความคิดให้มากขึ้น ให้คุ้มกับการไปใช้ชีวิตที่นั่น”
ซันเต๋อบรรยายภาพตัวเองว่าเป็นคนธรรมดา ใครที่ไม่มักคุ้นอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนพูดน้อย “แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนผมจะสนุกมาก โวยวาย ตลก คือจะเป็นคนละแบบกับที่เห็นเลยครับ”
ผลงานภาพวาดของเขาเช่นกัน ที่มีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาไหนเขาพบเจอกับอะไร หรือกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหน ไม่ว่าเหงา สุข ประชดประชัน ให้กำลังใจ ฯลฯ แล้วแต่ว่าช่วงเวลานั้นๆ เขาต้องการจะสื่อสารอะไร
“ผมชอบวาดบนกระดาษที่ขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะผมสามารถควบคุมทุกอย่างได้” ซันเต๋อพูดถึงงานภาพวาดของตนเอง “ส่วนเวลาก็ขึ้นอยู่กับความละเอียดของงาน ผมเป็นคนที่ถ้าวาดแล้วก็อยากให้เสร็จเร็วที่สุด ผมวาดไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก แต่จะไม่หยุดทิ้งไว้จนกว่างานจะเสร็จ เพราะอยากเห็นภาพตอนงานเสร็จ
“ผมคิดว่าผมโชคดีมากๆ เลยที่ได้ทำอาชีพนี้ อาชีพบนโลกนี้มีเป็นหมื่นเป็นแสนอาชีพ แต่ผมได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผมไม่ได้เลือกมันอย่างเดียว แต่อาชีพนี้มันเลือกผมด้วย”
“เหตุผลข้อแรกที่ผมเลือกอาชีพนี้ เพราะว่าผมชอบวาดรูปมากๆ ข้อสอง-ผมมีอิสระ ผมสามารถวาดรูปที่ไหนในโลกก็ได้ ขอแค่มีอินเตอร์เน็ตก็ทำงานได้ ข้อสาม-ผมไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ผมมีเวลาให้ตัวเองเยอะขึ้น และข้อสุดท้าย-มันทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่า เวลาผมเห็นงานของตัวเองออกมาเป็นผลงาน ผมจะรู้สึกภูมิใจทุกๆ ครั้ง”
ขั้นตอนการวาดรูป ซันเต๋อบอกว่าเขาไม่มีตายตัว ผลงานบางชิ้นเขาคิดจากคำพูดก่อน บางชิ้นก็คิดจากภาพก่อน ซึงเขาได้วิธีการคิดมาจากเมื่อครั้งที่เขาเป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา จากนั้นเขาจะเริ่มวาดลงกระดาษ ซึ่งเขาถนัดมากกว่าวาดลงในคอมพิวเตอร์ แล้วค่อยมาเลือกว่างานชิ้นนั้นเขาจะเพ้นต์ด้วยคอมพิวเตอร์ หรือสีน้ำ หรือสีอะครีลิก แต่เทคนิกที่เขาถนัดที่สุดคือ สีน้ำ แม้ว่าตอนนี้เขากำลังสนุกกับสีอะครีลิกก็ตาม
ระหว่างที่ซันเต๋อเดินทางกลับมาเมืองไทยระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเดือนที่แล้ว เราเห็นข่าวอัพเดทของซันเต๋อผ่านทางโซเซียลมีเดีย ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์เลือกใช้เขาในฐานะ Influencer สำหรับโฆษณาผลิตภัณฑ์ SCB Prime เป็นภาพถ่ายซันเต๋อกับบัตรเอกสิทธิ์ พร้อมข้อความ “ก่อนหน้านี้ผมทำงานประจำ ช่วงเวลาที่ผมจะได้จับปากกาวาดรูปมักจะเป็นเวลาที่ใครหลายคนหัวถึงหมอนไปแล้ว สิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดคือ มีวินัยในการวาดรูป ทำให้ได้สม่ำเสมอแม้จะเป็นเวลากลางคืน ตอนที่ยังไม่เคยมีใครเห็นงานเรา เราก็ต้องขยันเพื่อจะผลักดันผลงานของเราออกไปให้คนรู้จัก จนมาถึงจุดนี้ที่ทุกคนรู้จักงานของเราแล้ว ผมก็ยังมีเป้าหมายที่จะไปต่อ คือพยายามจะทำโปรเจ็กต์พิเศษขึ้นทุกปี SCB Prime นอกจากจะเป็นบัตรที่แทนความสำเร็จก้าวแรกจากความมีวินัยของผม ยังให้เอกสิทธิ์ที่จะช่วยให้ผมได้ต่อยอดความสำเร็จออกไปอีก ตอนนี้วาดรูปดึกก็ไม่กลัวแล้วครับ ผมมีกาแฟฟรีจาก SCB Prime”
เราเห็นอารมณ์ขันของซันเต๋อในข้อความนั้น พร้อมทั้งใคร่รู้ว่าทำไมเขาจึงเป็นตัวเลือกของ SCB Prime
ซันเต๋อให้คำตอบว่า “เขาน่าจะเลือกผมตรงที่ผมเป็นคนรุ่นใหม่ที่ทำตามความฝันได้เร็ว และ SCB Prime เป็นเหมือนบัตรแทนความสำเร็จก้าวแรกของผม”
และเขายังตอบคำถามเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากกาแฟฟรีแล้ว SCB Prime ยังให้สิทธิประโยชน์แก่เขาในการบินฟรีในประเทศ ห้องรับรองฟรี และยังมีส่วนลดร้านอาหารอีกด้วย
ยังมีอะไรอีกบ้างไหม ที่เขาคิดอยากทำก่อนอายุครบ 30 ปี เราตั้งคำถามทิ้งท้าย
“ตอนนี้ผมอยากทำแบรนด์ Suntur Store ซึ่งกำลังทำใหม่อยู่ครับ ผมจะขายออนไลน์ทั่วโลก อยากให้แบรนด์นี้เป็นที่รู้จัก” เขาให้คำตอบ “อีกอย่างหนึ่ง ผมอยากมีนิทรรศการแสดงภาพผลงานของผมด้วยครับ”
และทั้งสองสิ่งนั้นซันเต๋อคาดหวังถึงความสำเร็จก่อนเขาอายุ 30 ปี