เรื่อง : ขาว-ดำ
เขาคือดาวรุ่งในวงการบาสเกตบอล NBA ของอเมริกา ที่เมื่อ 25 ปีก่อนเคยออกมาประกาศว่า ตนเองติดเชื้อเอชไอวี แต่ชะตาชีวิตของเขากลับพลิกจากร้ายให้กลายเป็นดีจนได้
ตอนที่เออร์วิน จอห์นสัน หรือคนทั้งโลกเรียกขานว่า “เมจิก” ก้าวออกมานั่งประจันหน้ากับกล้อง ไมโครโฟน และบรรดาสื่อมวลชนที่เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ น้ำตาของเขาเริ่มเหือดแห้งจากใบหน้า นักกีฬาหนุ่มร่างสูง 2.06 เมตรหัวหน้าทีมบาสเกตบอล ‘ลอส แองเจลีส เลเกอร์ส’ สวมชุดสูทสีดำ ศีรษะเกรียน เริ่มกล่าวด้วยประโยคว่า “ก่อนอื่นผมขอสวัสดีทุกคน” ก่อนการแถลงข่าวที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ของวงการกีฬา
7 พฤศจิกายน 1991 คือวันที่โลกทั้งโลกหยุดนิ่ง รอฟังเรื่องราวที่เมจิกพูด
ในช่วงเวลานั้น นักบาสเกตบอลวัย 32 เจ้าของเสื้อเบอร์ 32 กำลังเป็นดาวดวงเด่นที่สุดเท่าที่วงการบาสเกตบอลเคยมี หลังจากผ่านการเล่นบาสเกตบอลมหาวิทยาลัย 2 ปีกับ NBA 12 ฤดูกาล ทำให้เขากลายเป็นไอคอนแห่งยุคสมัย และความสำเร็จจากการคว้าแชมป์ 5 สมัย ได้รับรางวัล MVP (Most Valuable Player) ถึง 3 ครั้ง เขาได้รับการยกย่องเป็นนักเล่นของลีกที่ดีที่สุดในโลก และเนื่องจากเขาปฏิวัติการเล่นด้วยสไตล์ที่สร้างสรรค์และเร้าใจ กระทั่งว่าชื่อเล่นของเขาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลไม่ได้เป็นแค่ชื่อ หากแต่เป็นยี่ห้อ ที่รับประกันความบันเทิงอันตื่นตาตื่นใจ
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1991 เมจิก จอห์นสันมีรายได้จากโฆษณาจำนวนหลายล้านดอลลาร์ เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่อารมณ์ดีและเป็นมิตรกับทุกคน รวมทั้งเป็นคนผิวสีตัวอย่างตามแบบฉบับความฝันของอเมริกันชน ที่ก้าวขึ้นมาจากระดับล่าง – พ่อเป็นคนเก็บขยะ แม่เป็นพนักงานทำความสะอาด – สู่การเป็นวีรบุรุษ
วันแห่งความจริง
“สาเหตุเพราะผมติดเชื้อเอชไอวี” เมจิก จอห์นสันบอกให้คนทั้งประเทศรับรู้ผ่านการแถลงข่าว “วันนี้ผมจึงขอถอนตัวจากทีมเลเกอร์ส” จากนั้นเขาอธิบายในสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกเพียงไม่กี่นาที ว่าเขาติดเชื้อไวรัสซึ่งทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตไปแล้วกว่า 125,000 คน เพียง 10 ปีก่อนหน้านั้นเอดส์เพิ่งเป็นที่กล่าวขานถึงในสหรัฐอเมริกา โรคภูมิคุ้นกันบกพร่องเริ่มแพร่ระบาดในหมู่ชาวเกย์ผิวขาว จนทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่า มันคือบทลงโทษสำหรับโฮโมเซ็กฌวลและคนติดยาเท่านั้น
ทว่าบัดนี้ เมจิก-ชายแท้ผิวสีที่น่าคบหา กลับมาย้อนแย้งความคิดเหล่านั้น เขาไม่ได้ป่วย เขาเพียงติดเชื้อ แพทย์ประจำทีมตรวจเจอเชื้อไวรัสได้ทันเวลา และอธิบายให้เขาฟังเกี่ยวกับไวรัสนี้ในวันก่อนหน้า จอห์นสันรับรู้ว่า เขาจะไม่ตายหากได้รับการรักษาถูกวิธี ก่อนการแถลงข่าวเขาได้บอกกับเทรนเนอร์และเพื่อนร่วมทีมเกี่ยวกับเอชไอวี และร้องไห้ร่วมกับพวกเขา เมื่อสิ้นสุดการแถลงข่าว อักษรย่อสามตัวนี้ได้ทำให้เกิดความกลัวขึ้นในแวดวงกีฬาทันที
“ตอนนั้นเราทุกคนเชื่อว่าเมจิกจะต้องตายแน่” เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งของจอห์นสันกล่าว ผู้สื่อข่าวหลายคนถึงกับน้ำตาซึม วันถัดมาแพ็ต ไรลีย์-อดีตเทรนเนอร์ของจอห์นสันที่ย้ายไปอยู่ทีมนิวยอร์ก คนิกส์ ประกาศขอให้ทุกคนยืนสงบ ก่อนการแข่งขันกับทีมออร์แลนโด เมจิก ผู้คนจำนวน 19,000 คนในสนามเมดิสัน สแควร์ การ์เดนพากันยืนนิ่งงัน
เมจิก จอห์นสันไม่ต้องการปิดปากนิ่งเงียบ ในระหว่างการแถลงข่าว เขาประกาศชัดเจนว่า นับแต่นี้ต่อไปเขาจะทุ่มเทเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ ไม่ว่าด้วยการชี้แจงเรื่องเชื้อไวรัสหรือการป้องกัน เขายังคงเป็นวีรบุรุษ แม้จะไม่ได้อยู่ใต้ห่วงบาสแล้วก็ตาม
“ข้อสรุปของเชื้อเอชไอวีว่าเกี่ยวข้องเฉพาะกลุ่มผู้ติดยาและโฮโมเซ็กฌวลเปลี่ยนไปแล้ว” นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานข่าว วันถัดมา เบลินดา โรเชลล์จาก Aids Action Council ในวอชิงตันออกมากล่าว “ถ้าใครสักคนสามารถทำได้ คนนั้นก็คือเมจิก”
โฆษกกระทรวงสาธารณสุขออกมาให้ข่าว “หากเมจิกต้องการ เราก็สามารถจะใช้เรื่องเลวร้ายนี้ให้เป็นประโยชน์ ในการเป็นสื่อกลางเพื่อให้คนรุ่นหนุ่ม-สาวได้รับรู้ และเผชิญหน้ากับความจริง ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน” ในยุคต้นทศวรรษ’90 เรื่องที่เอดส์ไม่ใช่ความเจ็บป่วยของเกย์ เรื่องที่ทุกคนสามารถติดเชื้อไวรัสได้ถ้าเขาหรือเธอไม่ป้องกันนั้น คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้หรือไม่ต้องการรับรู้ แต่ตอนนี้มีเมจิกแล้ว และเขาต้องการจะบอกต่อ
‘คัมแบ็ก’ เป็นเรื่องยากเนื่องจากความกลัว
ข่าวสารข้อมูลที่ว่า คุกกี้-ภรรยาของเขา และอีเจ-ทารกเพศชายในท้องไม่ได้ติดเชื้อนั้น ถูกนำมาใช้เป็นแคมเปญชี้แจงเกี่ยวกับโรคร้ายตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในหนังสืออัตชีวประวัติ ‘My Life’ ปี 1992 จอห์นสันยอมรับว่า “เรื่องที่ผมติดเชื้อไวรัส สาเหตุมาจากการมีเซ็กซ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ซึ่งในยุคสมัยของเอดส์มันเป็นเรื่องที่ขาดความรับผิดชอบอย่างมาก ผมเองก็รู้มาก่อน เพียงแต่ผมเมินเฉยกับมัน” นักบาสเกตบอลผิวสีหลับนอนกับผู้หญิงนับร้อยคน ทั้งคนในและนอกวงการกีฬา
ในเกมการแข่งขัน All Star จากนั้นใน ‘ดรีมทีม’ ที่เป็นตำนานระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1992 ที่บาร์เซโลนา จอห์นสันมีโอกาสเฉลิมฉลองการกลับมาอีกครั้งของเขาในระยะเวลาสั้นๆ เขาได้รับแรงสนับสนุนจากเหล่าดาราคนดังหลายคน อาทิ แลร์รี เบิร์ด หรือไมเคิล ‘แอร์’ จอร์แดน ทว่าเมื่อเขาขอลงเล่นใน NBA ฤดูกาล 1992/1993 อีกครั้ง เขากลับถูกนักบาสเกตบอลด้วยกันแสดงท่าทีรังเกียจ โดยเฉพาะดาวเด่นของทีมยูทาห์ แจ๊ส อย่างคาร์ล มาโลน ด้วยเหตุผลว่ามันเสี่ยง หากมีการติดเชื้อจากเลือดที่บาดแผลหรือเหงื่อ ส่วนสปอนเซอร์หลายเจ้าขอถอนตัว หรือดึงสปอตโฆษณาที่ถ่ายทำไปแล้วกลับไปดอง
ยักษ์ใหญ่อย่าง เป๊ปซี่ เองก็ถอนตัว ด้วยเหตุผลว่า “จะขอวิเคราะห์สถานการณ์ของเมจิก และจะตัดสินใจว่า อะไรทางออกที่ถูกต้องและดีที่สุดสำหรับเขาหรือเราจะเป็นอย่างไร”
กระทั่งปี 1996 เมจิก จอห์นสันหวนกลับมาเล่นอีก 32 เกม และสามารถทำได้ดี สตีฟ เคอร์-นักเล่นของทีมชิคาโก บูลล์ส ให้สัมภาษณ์นักข่าวเกี่ยวกับเมจิกและความก้าวหน้าของแคมเปญชี้แจงเรื่องเอดส์ “ผมไม่ได้อยากมีเซ็กซ์แบบไม่ป้องกันกับเขา แต่เราอยากเล่นบาสเกตบอลกับเขา” ปี 1999 จอห์นสันในวัย 40 ปีลงสนามแข่งอีกครั้งในสวีเดน แม้จะเป็นเกมเล็กๆ แต่เขายังสามารถพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของตนเองได้
ฝึกฝนเซ็กซ์ปลอดภัย
ไม่กี่วันหลังจากแถลงข่าวการติดเชื้อเอชไอวี จอห์นสันได้รับเชิญไปออกในรายการ ‘Arsenio Hall Show’ เขาพูดสาบานต่อหน้าผู้ชมรายการว่า “ผมอยากให้ทุกคนได้ฝึกฝนการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย” การที่ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ซีเนียร์ยกเลิกคณะกรรมาธิการเอดส์แห่งชาติไปหลังหมดวาระนั้น จอห์นสันกล่าวถึงในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาว่า “สหรัฐจัดเป็นประเทศที่มีประชากรติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก แต่เรากลับไม่มีนโยบายที่จะรับมือกับเชื้อโรคร้ายนี้ นับเป็นเรื่องน่าอัปยศที่สุด”
ตามมาด้วยรายการทีวี ‘The Magic Hour’ ที่ให้เด็กและเยาวชนตั้งคำถามเรื่องเอดส์กับเขา รวมถึงหนังสือ ‘What You Can Do to Avoid AIDS’ และมูลนิธิของเขาก็ทำงานด้านการป้องกันได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้ จอห์นสันกลายเป็นนักพูดจูงใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านทีวี และคนในสื่อที่ประสบความสำเร็จพอๆ กับการเป็นนักธุรกิจ เขาเป็นผู้ถือหุ้นในทีมบาสเกตบอลลอส แองเจลีส ด็อดเจอร์ส คาดเดากันว่าเขาน่าจะมีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์
ที่สำคัญกว่านั้น เขา-ปัจจุบันวัย 57 ปี-มีวิถีชีวิตที่เข้มงวดกับเรื่องสุขภาพ แม้ว่าเชื้อไวรัสในร่างกายของเขาจะลดน้อยลงจนแทบคล้ายคนปกติ ทว่าเขายังต้องกินยาต้านไปตลอดชีวิต ความเป็นนักกีฬาไอดอลแห่งทศวรรษ’80 และ ’90 รวมทั้งอิทธิของเขายังคงอยู่ตราบถึงปัจจุบัน
ฟิล วิลสัน-ผู้อำนวยการ Black Aids Institute ยอมรับว่า “เขาทำให้ความรู้สึกเกี่ยวกับเอชไอวีในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” และ 25 ปีที่ผ่านมา นักบาสเกตบอลผู้เผชิญกับไวรัสร้ายยังคงเป็นวีรบุรุษในสายตาของสังคม
นั่นละเมจิก…นั่นละเวทมนตร์